อาการแพ้ยุงนั้นค่อนข้างแตกต่างจากอาการทั่วไปจากการถูกยุงกัดอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคนทั่วไปถูกยุงกัดมักจะเกิดตุ่มแดงคันขนาดเล็กไม่เกิน 2 เซนติเมตรตามผิวหนัง ซึ่งไม่ร้ายแรงและอาการมักหายเองโดยไม่ต้องรักษา แต่คนที่มีอาการแพ้ยุงจะพบอาการต่อไปนี้หลังถูกยุงกัด
- อาการคล้ายกับการติดเชื้อ อย่างเป็นไข้และต่อมน้ำเหลืองบวมโต
- คันตามผิวหนัง ผิวหนังบวมอย่างรุนแรงคล้ายกับการถูกสัตว์หรือแมลงมีพิษต่อย โดยอาจพบอาการบวมตามผิวหนังบริเวณใดบริเวณหนึ่งเป็นวงกว้าง ขนาดตั้งแต่ 2–10 เซนติเมตรภายใน 1 ชั่วโมงหลังถูกกัดและอาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หรือเกิดอาการบวมทั่วร่างกาย หากพบสัญญาณของอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์ทันที
- ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) หรือภาวะแพ้อย่างรุนแรง แม้จะพบได้น้อย แต่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หากพบอาการลมพิษ คอบวม ริมฝีปากบวม หายใจไม่ออก หายใจมีเสียงหวีดแหลม เวียนหัว และคล้ายจะเป็นลม หรืออาการรุนแรงอื่นๆ ควรไปพบแพทย์ทันทีเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ อาการแพ้ยุงอาจเป็นอันตรายมากขึ้นเมื่อเกิดในทารก เด็ก และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
จากอาการข้างต้นบางคนอาจสับสนหรือเข้าใจผิดระหว่างอาการแพ้ยุงและภาวะผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรีย (Cellulitis) เพราะบางอาการอาจดูคล้ายกันจนทำให้สับสนได้ แต่ภาวะผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดหนอง ผิวอุ่นเมื่อสัมผัส เป็นไข้ และหนาวสั่น
หากถูกยุงกัดแล้วพบอาการผิดปกตินอกเหนือจากตุ่มแดงตามผิวหนังและอาการคันที่ไม่รุนแรง อาการค่อย ๆ รุนแรงขึ้น หรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์ เพราะอาการแพ้ยุงและภาวะผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรียนั้นมีวิธีรักษาที่แตกต่างกัน
การรับมืออาการแพ้
วิธีรับมือกับอาการแพ้ยุงอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงและความเหมาะสมดังนี้
แม้จะเป็นเพียงการถูกยุงกัด แต่คนที่แพ้ยุงก็อาจเสี่ยงต่ออันตรายได้ หากถูกยุงกัดควรทำความสะอาดผิวหนังในจุดที่ถูกกัดด้วยน้ำและสบู่ ซับให้แห้ง จากนั้นบรรเทาอาการบวมและคันด้วยการประคบเย็น โดยสามารถใช้ผ้าชุบน้ำเย็นบิดหมาด ผ้าห่อถุงน้ำแข็ง หรือขวดน้ำเย็นประคบตรงที่ถูกกัดประมาณ 10 นาที
หากบ้านไหนมีเบกกิ้งโซดา (Baking Soda) สามารถเตรียมเบกกิ้งโซดาใส่ถ้วยไว้เล็กน้อย จากนั้นหยดน้ำลงไปเล็กน้อย กวนให้จับตัวกันแล้วใช้พอกบริเวณที่ถูกยุงกัด ทิ้งไว้ 10 นาที ค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด
- ใช้ยาแก้แพ้สำหรับอาการแพ้ไม่รุนแรงหรือรุนแรงปานกลาง
ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เป็นยาที่ช่วยยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน (Histamines) ซึ่งจะหลั่งออกมามากขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับสารที่แพ้ ในกรณีนี้คือสารบางอย่างจากน้ำลายของยุงที่เข้าสู่ร่างกายผ่านการกัดทำให้เกิดอาการแพ้
คนที่ทราบว่าตนเองมีอาการแพ้ยุง ควรพกยาแก้แพ้ติดตัวไว้เสมอ โดยสอบถามแพทย์และเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีใช้ที่ถูกต้องและปลอดภัย หากต้องทำกิจกรรมหรือเข้าไปในที่ที่เสี่ยงต่อการถูกยุงกัด อย่างการเข้าค่าย การเดินป่าหรือพื้นที่ที่อาจมียุงชุก ควรมียาแก้แพ้ติดไปด้วย อย่างไรก็ตาม ยาแก้แพ้สามารถบรรเทาได้เพียงอาการแพ้ที่ไม่รุนแรงหรือรุนแรงปานกลาง อย่างผื่นแดงคันและอาการบวมเล็กน้อยจากการถูกยุงกัดเท่านั้น หากใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือพบสัญญาณของปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง ควรไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
การเกาตรงตำแหน่งที่ถูกยุงกัดจะกระตุ้นให้อาการคันและการอักเสบรุนแรงขึ้น อีกทั้งการเกาอาจทำให้เกิดรอยแผลขนาดเล็กบนผิวหนัง ทำให้เชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเกาแผลหรือรอยยุงกัดโดยไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
วิธีลดความเสี่ยงถูกยุงกัด
มีหลายวิธีที่ช่วยป้องกันการถูกยุงกัด เช่น
- สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่มีสีอ่อน
- ทำความสะอาดภายในและนอกตัวบ้านเสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่มีน้ำขัง อย่างพื้นดิน ถังขยะ หรือภาชนะที่วางไว้นอกตัวบ้าน เนื่องจากยุงแพร่พันธุ์วางไข่ในน้ำ
- ปิดฝาภาชนะใส่น้ำ คว่ำถังและกะละมังที่ไม่ใช่งาน รวมทั้งหยดน้ำส้มสายชูหรือทรายอะเบทตามแจกันดอกไม้ ขารองตู้กับข้าว หรือภาชนะอื่นที่มีน้ำภายในบ้าน
- เปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศเสมอ
- กางมุ้งขณะนอนหลับ โดยเฉพาะเวลากลางวัน
- ปิดประตูและหน้าต่างให้สนิท หรือติดมุ้งลวดกันยุง
- ทายาหรือโลชั่นกันยุงที่ปลอดภัยต่อผิวหนัง แต่ผู้ปกครองควรระมัดระวังเมื่อต้องทาให้ทารก
ปรึกษาแพทย์
หากคาดว่าตนเองหรือเด็กในบ้านอาจมีอาการแพ้ยุง หรืออาการจากการถูกยุงกัดส่งผลต่อการใช้ชีวิตสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้ สำหรับคนที่มีประวัติแพ้ยุงอย่างรุนแรง แพทย์อาจสั่งจ่ายยาอิพิเนฟริน (Epinephrine) ในรูปแบบของปากกาเข็มฉีดยา พร้อมแนะนำวิธีใช้เมื่อเกิดอาการแพ้รุนแรงหรือปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงขึ้น ซึ่งหากแพทย์สั่งจ่ายยาดังกล่าวก็ควรพกติดตัวไว้เสมอ
สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงจากการถูกยุงกัดได้หลายวิธี ยิ่งเป็นคนที่อาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ ป่า และพื้นที่ธรรมชาติที่อาจมีความเสี่ยงจากการถูกยุงกัดได้มากกว่า ควรต้องดูแลตนเองให้มากขึ้น เพราะนอกจากอาการไม่พึงประสงค์จากการถูกยุงกัดและอาการแพ้ยุง การถูกยุงกัดอาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อ อย่างโรคไข้เลือดออกและไข้มาลาเรียได้
วิธีรักษาและการดูแลตัวเองจากอาการแพ้ยุงเบื้องต้น
การรักษาอาการแพ้ยุงมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการในแต่ละบุคคล
- วิธี 1 หากถูกยุงกัดควรทำความสะอาดผิวหนังในจุดที่ถูกกัดด้วยน้ำและสบู่ ซับให้แห้ง จากนั้นประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการบวมโดยประคบตรงที่ถูกกัดประมาณ 10 นาที
- วิธี 2 ใช้ยาแก้แพ้ สำหรับผู้ที่แพ้ยุงที่มีอาการไม่รุนแรง ยาแก้แพ้จะช่วยยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน (Histamines) ซึ่งจะหลั่งออกมามากขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับสารที่แพ้ ในกรณีนี้คือสารบางอย่างจากน้ำลายของยุงที่เข้าสู่ร่างกายผ่านการกัดทำให้เกิดอาการแพ้ สามารถช่วยบรรเทาอาการผื่นแดงคันและอาการบวมเล็กน้อยได้เท่านั้น หากมีอาการรุนแรงมากขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- วิธี 3 ห้ามเกาบริเวณรอยที่ถูกยุงกัด เพราะเป็นการกระตุ้นให้อาการคันและการอักเสบบนผิวหนังเป็นมากขึ้น และยังทำให้ผิวบริเวณที่ถูกยุงกัดเกิดรอยแผลขนาดเล็กขึ้นด้วย
- วิธี 4 หากเป็นผื่นบริเวณกว้าง คันมาก หรือมีอาการอักเสบของผิวหนัง แนะนำปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมในการรักษา เช่น ยาแก้แพ้ หรือ ยาทาภายนอก เพื่อลดอาการอักเสบของผิวหนังโดยสามารถใช้ครีมบำรุงผิวอย่าง Eucerin OMEGA BALM บาล์มบำรุงผิวกายที่สามารถใช้ได้ทุกวันสำหรับผู้มีปัญหาผิวแห้ง แดง คัน ช่วยบรรเทาอาการคัน ลดการระคายเคืองช่วยคืนความชุ่มชื่น เสริมเกราะป้องกันให้ผิวแข็งแรงขึ้น สามารถใช้ได้แม้ผิวบอบบางของเด็กทารก
5 โรคอันตรายจากยุง
1. ไข้เลือดออก
พาหะ : ยุงลาย ที่ออกหากินตอนกลางวัน (ปัจจุบันพบยุงลายตอนกลางคืน ช่วงโพล้เพล้อยู่บ้าง)
อาการ : หลังถูกยุงลายกัด 5-8 วัน จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามร่างกาย เบื่ออาหาร หรืออาจอาเจียน มีผื่นแดงๆ ตามร่างกาย อาจเลือดออกง่าย ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ และเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ช็อก ชัก บวม แน่นหน้าอก ปวดท้อง หรือมีเลือดออกในอวัยวะภายใน
2. มาลาเรีย
พาหะ : ยุงก้นปล่อง พบได้มากในป่า พื้นที่รกๆ อากาศร้อนชื้น แหล่งน้ำต่างๆ หรือพื้นที่อื่นๆ ทั่วไป
อาการ : มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย ชีพจรเต้นเร็ว หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน หน้าซีดปากซีดจากการที่เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย เริ่มเข้าสู่ภาวะโลหิตจาง ตัวเหลืองเหมือนดีซ่าน และอาจมีปัสสาวะสีเข้มเหมือนสีน้ำปลา
3. เท้าช้าง
พาหะ : โรคเกิดจากพยาธิตัวกลม โดยมียุงเป็นพาหะ
อาการ : มีไข้สูงเฉียบพลัน หลอดน้ำเหลือง และต่อมน้ำเหลืองอักเสบ โดยอาจพบได้บริเวณอวัยวะต่างๆ เช่น ขา ช่องท้องด้านหลัง ท่อน้ำเชื้ออสุจิ หรือเต้านม ผิวหนังบริเวณที่อับเสบจะบวมแดง มีน้ำเหลืองคั่ง คลำเป็นก้อนขรุขระ แต่ในบางรายอาจไม่แสดงอาการบวมชัดเจน
4.ไข้ปวดข้อยุงลาย (ชิคุนกุนย่า)
พาหะ : ยุงลาย
อาการ : อาการคล้ายไข้เลือดออกมาก แต่ไม่พบการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการช็อก
5. ไข้สมองอักเสบ
พาหะ : ยุงรำคาญ พบในนาข้าว เพราะเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ และมีหมูเป็นรังของโรค โดยยุงรำคาญไปกัดหมูที่เป็นโรค และแพร่เชื้อต่อสู่คน และสัตว์อื่นๆ
อาการ : หลังรับเชื้อ 5-15 วัน จะมีไข้สูง อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการผิดปกติทางสมอง เช่น คอแข็ง สติสัมปชัญญะลดลง ซึม หรือ เพ้อ คลั่ง ชัก หมดสติ หรืออาจมือสั่น เป็นอัมพาต ซึ่งหลังจากอาการของโรคหายไป อาจหลงเหลือความผิดปกติของสมองอยู่บ้าง เช่น พูดไม่ชัด เกร็ง ชัก หรือสติไม่ค่อยปกติ
สำหรับใครที่มีอาการแพ้ยุงควรป้องกันและลดความเสี่ยงจากการถูกยุงกัด โดยหลีกเลี่ยงจากสถานที่ซึ่งเป็นอยู่อาศัยของยุง เช่น แหล่งน้ำ หรือพื้นที่ธรรมชาติ ควรดูแลตนเองให้มากขึ้นด้วยการพกยาแก้แพ้ สเปรย์ป้องกันยุง รวมทั้งหาครีมที่ช่วยบรรเทาอาการคัน หรือผื่นแพ้จากยุง ซึ่งช่วยลดสาเหตุการเกิดผื่นแพ้ยุงได้